โยม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ สงสัยตรงที่ว่า พอเราเห็น "ผู้รู้" แล้วเนี่ย ที่หลวงตาบอกว่า ให้ปล่อยวางผู้รู้นี่ วิธีการปล่อยวางผู้รู้นี่ คือยังไงนะคะ... ? หลวงตา : วิธีปล่อยวางผู้รู้ คือว่าให้เห็นว่า "ผู้รู้" ที่รู้แล้วก็คิดได้ ปรุงแต่งได้ ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งรู้ทั้งเห็นทั้งเข้าใจเนี่ย เห็นว่ามันเป็น "สังขาร" เป็น "ขันธ์ห้า" เมื่อเห็นว่า "ผู้รู้" ทั้งรู้ ทั้งเห็น ทั้งเข้าใจ วิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัยอะไรได้ ถูกใจ ไม่ถูกใจได้ อันเนี้ย... มันเป็นขันธ์ห้า ขันธ์ห้ามันเป็นสังขาร เป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็ปล่อยวาง เพียงแค่เห็นว่าเค้าเป็น "ขันธ์ห้า" ไม่ใช่เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา เห็นว่า ผู้รู้ไม่ใช่เรา เราตัวเราไม่ใช่ผู้รู้ ผู้รู้ไม่ใช่ตัวเรา เพราะมันเป็น ขันธ์ห้า เป็น สังขารเป็นสิ่งปรุงแต่ง มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มันก็จะยอมปล่อยวาง เพราะเห็นว่ามันเป็นขันธ์ห้า แล้วเรามาปฏิบัติธรรมทั้งหมด พระพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ทั้งหมดตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต ** ล้วนแต่ต้องปล่อยวางขันธ์ห้า ** จนถึง "ผู้รู้" ที่เป็น "วิญญาณขันธ์" ที่ทำงานร่วมกับเจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร อีกสามขันธ์ จึงต้องปล่อยวางถึง "ผู้รู้ " ที่รู้แล้วทำงานร่วมกับ เจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร เพราะฉะนั้นมันทั้งรู้ รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และก็ทั้งวิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัย ถูกใจ ไม่ถูกใจได้ เพราะงั้นไอ้ตัวเนี้ย... ไอ้ผู้รู้ที่ถูกใจ ไม่ถูกใจได้ทั้งรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเนี่ย ปล่อยวางมันหมดเลย ยกเข่ง.... เหมายกเข่งเห็นว่ามันเป็นสังขารหมดเลย ทั้งผู้รู้ รู้เห็นเข้าใจอะไรต่าง ๆ ทุกขณะปัจจุบัน ทุกขณะจิตปัจจุบัน ก็ปล่อยวางมันหมดเห็นว่ามันเป็นสังขาร เลยสังขารไปเป็นความไม่มีอะไร เป็นวิสังขาร หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน พ่อแม่ครูอาจารย์ที่เคารพนับถือ ท่านว่า... "ผู้รู้" ที่ทำงานร่วมกับเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร ที่ว่าทั้งรู้ ทั้งเห็น ทั้งเข้าใจได้ ทั้งรู้ว่าถูกใจ ไม่ถูกใจ แทรกแซง ดิ้นรน พยายาม ทั้งรู้ว่าอะไรเป็นอะไร... ไอ้ตัวเนี้ยเป็น รู้ปลอม *** เป็นรู้ตัวปลอม คือ มันรู้แล้วปรุงแต่งเกิดดับได้ *** มันเป็นของไม่เที่ยง มันจึงเป็นผู้รู้ตัวปลอมให้ปล่อยวางผู้รู้ตัวปลอม ปล่อยวางไป จะปล่อยวางมันได้เพราะเห็นว่ามันเป็นสังขารเป็นความปรุงแต่งเป็นขันธ์ห้าแล้วพอปล่อยวางหมดมันถึงจะไปพบ... ผู้รู้ตัวจริง ผู้รู้ตัวจริงเนี่ย คือ มันมีชื่อเรียกเยอะแยะมากมาย เรียกว่า "จิตเดิมแท้" บ้าง เรียกว่า "ใจ" บ้าง เรียกว่า "พุทธะ" บ้าง มีชื่อเรียกเยอะ ผู้รู้ตัวจริงเนี่ยเรียกว่า "ธรรมแท้" เรียกว่า "ธรรมธาตุ" มันเป็น "สุญญตา" เป็น "มหาสุญญตา" เป็นจักรวาลเดิม เป็นดั่งอวกาศแห่งจิตเดิมแท้ มันไม่มีตัวตนไม่มีรูปร่าง ไม่อาจที่จะแสดงกิริยาอาการได้ มันทั้งไม่ใช่ทั้งรู้ ทั้งเห็น ทั้งเข้าใจ มันได้แต่รู้ว่ามันไม่มีตัวตน มันไม่มีอะไรเลย ไม่อาจแสดงกิริยาอาการได้มันคือความไม่มีอะไรเลย ที่มีอะไรทั้งหมด ที่แสดงกิริยาอาการได้ มีความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ไม่ใช่มัน ! มันไม่เคยเอาผิดตัวเลย เอาที่แสดงกิริยาอาการได้มาเป็นมัน ** มันคือความไม่มีอะไร ไม่มีอะไรปรากฏเลย มันคือความไม่มี ไม่มีอะไรเลย นั่นแหละมันเป็นผู้รู้ตัวจริง เป็นธรรมแท้ ** ให้ปล่อยวาง "ผู้รู้ตัวปลอม" ที่มันบ่นได้ คิดได้ ถูกใจได้ ไม่ถูกใจได้ แทรกแซงได้ ทุกขณะปัจจุบันไปเสีย แล้วจะพบ ผู้รู้ที่เป็นธรรมแท้ ธรรมแท้ที่ไม่เกิดไม่ดับ ไม่แตก ไม่ทำลาย ให้อยู่กับธรรมแท้ อยู่กับความไม่เกิดไม่ดับนั้นอยู่กับสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ ก็จะเป็น "อมตะ" ตลอดกาล แต่ถ้าไปอยู่กับสิ่งที่เกิดดับ คือไปอยู่กับผู้รู้ตัวปลอมที่มันบ่นได้ พูดได้ แทรกแซงได้ หงุดหงิดได้ มีอารมณ์ได้ไอ้ตัวนั้นน่ะเป็นตัวปลอม ไปอยู่กับผู้รู้ตัวปลอมที่มันเป็นสังขาร เป็นความปรุงแต่งจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีก ไม่มีที่จบสิ้นไปทุกข์ยากลำบากเกิดตาย ๆ กรรมเวรก็ให้ผลอีกต่อไป เพราะว่าโลกทั้งสามที่จะไปเวียนว่ายตายเกิดล้วนแต่ไปจากความปรุงแต่งทั้งหมด คือ กามภพ "กามโลก" หรือ "กามภพ" ภพที่ต้องเสพกาม ภพที่พวกเสพกาม และ "รูปภพ" หรือ "รูปพรหม" คือภพที่ต้องปรุงแต่งไปเสพ "รูปฌาน" "อรูปภพ" หรือ "อรูปฌาน" หรือ "อรูปพรหม" คือเป็นภพที่ปรุงแต่งเสพ "อรูปฌาน" พ้นความปรุงแต่งแล้วเป็นความไม่มีอะไรก็เลยพ้นจากโลกทั้งสามพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้วก็พ้นไปจากสังขาร พ้นจากความปรุงแต่ง มันก็ไม่มีใครที่ปรุงแต่งไปยึดถืออะไรให้เป็นทุกข์ เพราะว่าความไม่มีอะไร มันไม่มีตัวไม่มีตนอยู่แล้วมันเลยไม่มีใครไปยึดถืออะไรให้เป็นทุกข์ *** วิธีการปล่อยวาง "ผู้รู้" ก็คือ เห็นว่าผู้รู้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา *** เราจะเห็นว่า "ผู้รู้" ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตนของเราได้อย่างไร... ? ก็เห็นว่า "ผู้รู้" ที่มันเนี่ยทั้งรู้ ทั้งเห็น ทั้งเข้าใจทั้งรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็ถูกใจ ไม่ถูกใจได้ ไอ้เนี่ยเป็นผู้รู้ตัวปลอม มันเป็นสังขารเป็นความปรุงแต่งเป็นขันธ์ห้า พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายล้วนแต่ปล่อยวางขันธ์ห้า ปล่อยวางจนถึง "ผู้รู้" ผู้รู้ตัวปลอมเนี่ย จึงจะพ้นจากทุกข์ได้ เพราะงั้นทางเดินที่จะเดินตามทางของพระพุทธเจ้าหรือ พระอรหันต์ทั้งหมด ก็ต้องปล่อยวางผู้รู้ตัวปลอมที่เป็นวิญญาณขันธ์ ทำงานร่วมกับเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขารอีกสามขันธ์ .......................................... หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย ที่มา : ถอดความส่วนหนึ่งจากไฟล์เสียง180305B-1 วิธีการปล่อยวางผู้รู้ตัวปลอม https://youtu.be/xMjWZd7zzoY