หลวงตา : ความเข้าถึง "สุญญตา" แล้วเนี่ย มันมีความสมบูรณ์ด้วยตัวมันเอง เพราะว่าความเป็นสุญญตาไม่สามารถเอาอะไรไปเติมให้มันเต็มได้... เพราะมันไม่มีความพร่อง มันจึงใช้ความพยายามใด ๆ กับสุญญตาไม่ได้ จึงไม่สามารถที่จะไปเป็นอีโก้ (ego : ความเป็นตัวตน) แล้วต้องระวัง คอยระวังตัวเองว่าเรารู้ขนาดนี้แล้ว... ใจเป็นสุญญตาแล้ว จะต้องมีอีโก้ คือ ยกตัวเองข่มผู้อื่น อันนั้นมันไม่มีแล้วในสุญญตา การยกตัวเองข่มผู้อื่นได้ มันมาจากความปรุงแต่ง "อัตตา" ความเป็น "สุญญตา" มันไม่มีพร่องมันสมบูรณ์ด้วยตัวมันเอง โยม : จริง ๆ แล้วอัตตาต่างหากที่เกิน หลวงตา : ใช่ ถูกต้อง "อัตตา" คือ ความเกินจากธรรมชาติธรรมดา โยม : เกินธรรมชาติ จนเกิดความแปรปรวนขึ้น หลวงตา : กิเลส และ ความทุกข์ทั้งมวล มันจึงมาจากส่วนที่เกินธรรมชาติ คือ อัตตานี่เอง เมื่อ "สิ้นอัตตา" เห็นอัตตาเป็น "อนัตตา" ไม่มีอยู่จริง กิเลส และ ความทุกข์ทั้งมวลที่แปรปรวนทำให้ปั่นป่วนเป็นทุกข์ ก็จะหายไปด้วย โยม : แล้วอย่างนี้สมมติว่าเวลาที่เราเจอคนนี้แล้วเรามีความสุข เรายินดี อย่างนี้แปลว่าเราก็ไม่เป็นสุญญตาแล้วเช่นกัน เพราะว่ามันเป็นการปรุงแต่ง หลวงตา : มีความสุขกับการยินดีด้วยความติดความยึดถือหรือเปล่าล่ะ? หรือเป็นเพียงแค่ธรรมชาติปกติ เมื่อเราเจอคนนี้ความคุ้นเคยก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีความดีใจได้พบคนนี้แล้วก็จากไม่ได้... "คิดถึง" อย่างเนี้ยเป็นอัตตา โยม : ถ้ายึดมั่นว่าเป็นของเรา... ก็คือเป็นอัตตา ต่อให้เรารู้สึกยังไงก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่ยึดมั่นว่าเป็นของเรา ถึงแม้ว่าเราจะขัดใจ แต่ว่าสเต็ป (step : ขั้นตอน) การเริ่มเป็นอัตตามันคือว่า ที่เราเริ่มเจ้ากี้เจ้าการ เริ่มอยากบงการอะไรอย่างนี้ มันก็คือสเต็ปของอัตตา หลวงตา : ถูกต้องแล้ว โยม : เพราะฉะนั้นถ้าเรายังไม่ได้อยู่ในสเต็ปจะยื้อไว้ หรือว่าเราไม่ได้อยู่ในสเต็ปแบบจะไปเจ้ากี้เจ้าการไปจัดการไปอะไรอย่างเนี้ย มันก็แค่เหมือนคล้าย ๆ ว่าแค่ปรุงแต่งขึ้นมาแว๊บหนึ่ง แกว่งจากสุญญตานิดหน่อย แต่ว่ามันยังไม่ถึงขั้นอัตตาครอบลงไป หลวงตา : ถูกต้องแล้ว โยม : อ๋อ... ค่ะ แปลว่าคนเราไม่ใช่ว่าจะเรียบทุกวินาที แต่ว่าถ้าเราไม่ได้เอาตัวเราเข้าไปยึดเข้าไปโยง เข้าไปครอบว่า... ทำไมไม่ถูกใจฉัน คือ ถ้ายังไม่ถึงสเต็ปไม่ถูกใจฉัน มันก็ยังไม่ถึงสเต็ปของอัตตาหรือเปล่าคะ? หลวงตา : ถูกต้องแล้ว โยม : แล้วถ้าอย่างนั้น ระหว่างเข็มกระดิกนิด ๆ ไม่อุเบกขา กับ อัตตา ช่องว่างตรงนี้มันคืออะไร? หลวงตา : สุญญตาจะมีการรักษาให้ไม่เป็นอัตตาได้เหรอ จะรักษาไม่ให้เข็มกระดิกได้เหรอ? โยม : อ๋อ... "สุญญตา" ก็คือเราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า... เข็มกระดิกก็คือเข็มกระดิกโดยไม่เอาอัตตาเข้าไปครอบ หลวงตา : ถูกต้องแล้ว โยม : แปลว่า "สุญญตา" กินความหมายกว้างกว่าอุเบกขาหรือเปล่าคะ? หลวงตา : ถูกต้องแล้ว แต่อุเบกขาได้ก็ต้องออกมาจากใจที่เป็นสุญญตา โยม : คือ สุญญตามันกว้างกว่าอุเบกขาก็จริง แต่การที่จะมีอุเบกขาที่แท้จริงได้ต้องออกมาจากใจที่เป็นสุญญตา? หลวงตา : ถูกต้อง! แล้วอย่างนี้ต้องหาตรงกลางมั้ย? โยม : ก็คือไม่ต้องหาอะไรอีกแล้ว ถ้าไม่ปรุง คือ ไม่ต้องหาอะไรอีกแล้ว ถ้าเราไม่ปรุงซะอย่างแล้ว เราเห็นทุกอย่างเท่ากันจริง ๆ เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง ไม่เอาตัวเองกระโจนเข้าไป แล้วไม่ปรุงเลย สุญญตาจริง ๆ ก็คือไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว เพราะถ้าทำ มันจะกลายเป็นเกิน ซึ่งความเกินเป็นเหตุแห่งความวุ่นวาย หลวงตา : ถูกต้องแล้ว ดังนั้นเนี่ยถ้าไม่มีอัตตาเข้าไปปน หนูก็จะเห็นอย่างที่เห็นตรงไปตรงมาอย่างที่เห็น... ได้ยินก็จะได้ยินตรงไปตรงมาอย่างที่ได้ยิน... ได้กลิ่นก็จะได้กลิ่นตรงไปตรงมาอย่างที่ได้กลิ่น... ลิ้มรสก็จะตรงไปตรงมาอย่างที่ลิ้มรส... สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง หนาว ก็จะรับรู้ตรงไปตรงมาอย่างที่สัมผัส... มีอาการอะไรเกิดขึ้นในใจอาการนั้นจะถูกใจ หรือ ไม่ถูกใจ จะเป็นกุศล อกุศล จะสุข จะทุกข์ จะผ่องใสเศร้าหมอง ก็รับรู้ตามความเป็นจริงออกมาจาก "จิต" หรือ "ใจ" ที่เป็น "สุญญตา" ออกมาจากสุญญตาจึงไม่มีตัวตนอัตตาไปรองรับ มันก็จะไม่มีความทุกข์ ความวุ่นวาย ความเดือดร้อน ที่จะต้องหนี หรือ ต้องสู้กับสิ่งที่รับรู้ในปัจจุบันขณะ ๆ นั้น โยม : เพราะฉะนั้น "อัตตา" ก็คือตัวยึด!!! ความเป็น "สุญญตา" ก็คือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็แค่... ไม่ยึด หลวงตา : ถูกต้องแล้ว จึงมีคำตรัสของพระพุทธเจ้า กับพาหิยะที่เป็นฆราวาสว่า "พาหิยะ" ถ้าเห็นสักแต่ว่าเห็น... ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน... ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น... รู้รสสักแต่ว่ารู้รส... รู้สัมผัสสักแต่ว่ารู้สัมผัส... รู้อาการทางใจสักแต่ว่ารู้อาการทางใจ... ตามความเป็นจริงอย่างที่รับรู้นั้น อย่างที่เขาเป็น เธอจะนิพพาน จะไม่มีตัวตนของเธอในโลกนี้ ในโลกหน้า ในโลกท่ามกลาง เธอจะ "สิ้นกิเลส" บรรลุพระนิพพาน แต่ภาษาตรง ๆ ของท่านใช้คำว่า... เห็นสักแต่ว่าเห็น... ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน... รู้สักแต่ว่ารู้ คือ รู้ทางจมูก รู้ทางลิ้น รู้ทางกาย... แล้วก็รู้แจ้งสักแต่ว่ารู้แจ้ง คือ "รู้ทางใจ" ไม่มีอัตตาเข้าไปรองรับเธอจะ "นิพพาน" จะไม่มีตัวตนของเธอในโลกนี้ ไม่มีตัวตนของเธอในโลกหน้า เธอจะสิ้นกิเลสเพราะไม่มีอัตตาไปรองรับก็จะพ้นทุกข์นิพพาน โยม : เพียงไม่มี "ตัวยึด" หรือว่าอัตตาไปรองรับเท่านั้นก็เรียบร้อยแล้ว หลวงตา : ถูกต้องเลย พอพาหิยะพิจารณาตาม จบคำตรัสพระพุทธเจ้าก็บรรลุอรหันต์ โยม : ก็คือ ผู้ที่ถึงพร้อมแล้วบทจะบรรลุก็บรรลุกันง่าย ๆ อย่างนั้นเลย หลวงตา : แต่คนอื่น ๆ น่ะฟังแล้วเขาพยายามหากรรมวิธี ไม่ให้มีอัตตาไปรองรับ แล้วถ้าหนูฟังตอนนี้แล้วหนูยังจะพยายามไปหากรรมวิธีจะให้รับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกปัจจุบันขณะโดยไม่มีอัตตาไปรองรับ... ให้มันเป็นสุญญตา อย่างนี้ก็เท่ากับว่าหนูยังไม่แจ้งถึงใจว่าการกระทำเช่นนี้ "มันเป็นอัตตา" โยม : ก็คือการหากรรมวิธีต่าง ๆ เนี่ย มันก็คือ พยายามใช้อัตตาเป็นเครื่องมือในการหาสุญญตาซึ่งมันไม่ได้ การที่จะถึงสุญญตาได้ต้อง "ละอัตตา"! ไม่ใช่หยิบอัตตามาใช้ การหากรรมวิธี... ก็คือมาจากความอยาก ซึ่งความอยากมาจากความยึดว่าเป็นความต้องการของเรา หลวงตา : ถูกต้องแล้ว! มันจึงจบในปัจจุบัน โยม : ค่ะ... มันจบในปัจจุบันเพราะว่าถ้าทำใจเป็นสุญญตาได้ในปัจจุบัน แล้ว "อัตตา" สิ้นไปแล้ว ก็คือจบเลย หลวงตา : ถูกต้องแล้ว เพราะมันจะไปจบในอนาคตไม่ได้ มันต้องจบในปัจจุบัน ทุกปัจจุบันเรื่อยไป เพราะถ้าจะไปจบในอนาคตมันพยายามจะเอาเครื่องมือของอัตตา ไปสร้างอัตตาเพิ่มเข้าไปเรื่อย ๆ โยม : คิดไม่ออกแล้วค่ะ หลวงตา : เมื่อจบแล้ว... สงบแล้ว... หยุดแล้ว... แล้วจะปรุงแต่งต่อได้ยังไง หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโยโอวาทธรรมจากไฟล์เสียง201201B-5 กลับสู่สุญญตา ตอนที่ 51 ธันวาคม 2563 ฟังจากยูทูป : 201201B-5 กลับสู่สุญญตา ตอนที่ 5https://youtu.be/7UC98arZ5mE สื่อธรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อความเข้าใจถึงใจ 201201B-1 กลับสู่สุญญตา ตอนที่ 1https://youtu.be/LnmsCrraPLA 201201B-2 กลับสู่สุญญตา ตอนที่ 2https://youtu.be/ynPjzaU2dG4 201201B-3 กลับสู่สุญญตา ตอนที่ 3https://youtu.be/x-55AHRrWj4 201201B-4 กลับสู่สุญญตา ตอนที่ 4https://youtu.be/GdLG9GYTNsI 201201B-6 กลับสู่สุญญตา ตอนที่ 6https://youtu.be/i4qVd46-v00 ~~~~~~~~~~~~~~~~~