ผู้ถาม : กราบหลวงตาครับ ผมได้ฝึกเจริญสติกับฝึกสมาธิด้วย จนทุกวันนี้ใช้การตามดูจิตตลอดเวลา จนจิตว่าง มีสมาธิ มีสติ ไม่หลับตา แต่จะทำตลอดไม่ว่าทำงานหรือไม่ทำงาน ต่อมา เกิดเหตุการณ์คือ มีสิ่งหนึ่งดึงจิต มันพยายามดึงจิตให้ออกจากกาย หมุนไปหมุนมาหาทางออกไม่เจอครับ
ทำให้เรามีความรู้สึกว่าต้องหาทางไปจากกายนี้ครับ ตอนแรกเป็นสักวันละครั้ง ต่อมาเป็นบ่อยขึ้น แต่เมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นทั้งคืนเลยครับ ผู้ปฏิบัติหาทางออกไม่เจอครับ
จึงกราบเรียนหลวงตาปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นครับ หรือกระผมปฏิบัติอะไรผิดพลาดไปครับ
เมื่อคืนตอนหลับก็เกิดอาการเหล่านี้ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง ตื่นขึ้นมาจึงอ่อนเพลียมากครับ
จะมีความสงบของจิตเกิดขึ้นก่อนครับไม่ได้นั่งหลับตาครับ จิตสงบเป็นปกติ แต่ต่อมาเกิดการดึงจิตครับ มันพยายามดึงจิตออกจากกายครับ ผมเลยหาทางออกไม่ได้เลยครับ
กราบหลวงตาช่วยอนุเคราะห์ปัญหานี้ด้วยครับ
หลวงตา : ปฏิบัติผิดทาง กลับด้าน เอาตัวเราไปดูกาย ดูจิต โดยดูเข้าไปภายในกาย ภายในจิต จึงเห็นแต่ความว่าง
แต่ไม่มีสติ ปัญญารู้เท่าทันความหลงยึดถือขันธ์ห้า คือร่างกายจิตใจ หรือ ยึดถือร่างกาย หรือ ยึดถือจิตหรือวิญญาณ เป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา แล้วเอาตัวเราเข้าไปดูรู้เห็นความว่าง
เมื่อมีตัวตน มีเรา มีตัวเราเป็นผู้ดูรู้เห็นความว่าง พึงพอใจความว่าง ยึดถือความว่างไว้ จึงเกิดพลังอัดที่ระบบประสาท ร่างกายจิตใจที่ไม่ว่างจากตัว ซึ่งยึดถือเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา ทำให้เกิดความผิดปกติทางร่างกายจิตใจมากมายหลายอย่าง
ต้องปล่อยวางความหลงยึดเป็นตัวตนของเราในความว่าง โดยเห็นว่าเป็น “อนัตตา”
ถ้าปฏิบัติผิดกลับด้าน โดยหลงเอาตัวเราไปดูกาย ดูจิต เห็นแต่ความว่าง
แต่ไม่เห็นตัวเรา ปล่อยวางตัวเราผู้ดูรู้เห็นจิต
มันจะตายแล้วมีตัวเราเป็นกายโปร่งแสงกระเด็นออกจากร่าง ไปรับกรรม
ต้องสิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
คือ เห็นขันธ์เป็นอนัตตา หรือ เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงสิ้นหลงว่ามีตัวเรา หรือ มีตัวตนของเราที่เที่ยงแท้อยู่จริง
เมื่อขันธ์ห้าตายแตกดับ ก็จะไม่มีตัวตนของเราเหลือกระเด็นออกจากร่าง ต้องไปรับกรรมอีก
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563