ผู้ถาม : การปฏิบัติธรรมเราควรเริ่มจากการใช้ปัญญาเห็นสัจจะความจริงของชีวิต ด้วยการเพ่งพิจารณามาที่ดวงจิต ชำเลืองดูบ่อย ๆ ให้เป็นนิสัยจนถึงอนุสัย
เมื่อเห็นจิตเดิมแท้ควรชำเลืองมองให้ถี่ขึ้น เราก็จะพบว่าเราเห็นตัวว่าง
ใจว่าง ใจที่ไม่มีความคิด ใจที่ไม่ได้คิดอะไร จะรู้สึกเบาสบาย เพราะจิตก่อนการคิด คือ จิตประภัสสร จิตเดิมแท้ จิตเดียว หรือจิตว่างนั่นเอง
การชำเลืองมองดูจิตและทำงานไปด้วย ก็เหมือนเราได้ดำรงในอริยมรรคมีองค์แปด ทำงานทำการของเราไปแล้วก็ใส่ใจในการดูแลจิตของเราไปด้วย เมื่อเราดูจิตบ่อย ๆ ความคิดฟุ้งซ่านหรือความวิตกกังวลจะหายไป
ตอนแรก ๆ เราจะเห็นความว่าง ความเบาสบาย เพียงชั่วขณะไม่นาน แต่พอเราชำเลืองดูบ่อย ๆ เราจะพบสภาวะว่างเบาสบายนานขึ้น ทำให้จิตของเรามีพลังได้
ผลที่เกิดตามมาก็คือ เราไม่ใจร้อน เราใจเย็น เราอดทนกับสภาวะที่ถูกกดดัน เรารู้สึกคลายความกังวลได้เป็นอย่างดี เหมือนเราฝึกสติปัฏฐานสี่ ทำให้เรารู้ตัวทั่วพร้อม กาย เวทนา จิต ธรรม นั่นเอง
หลวงตา : อย่าไปทำอย่างนั้น
มันผิดทางธรรมที่ไม่มีผู้ยึดมั่นถือมั่น
มันมีความหลงยึดมั่นถือมั่น มีตัวตนของเราที่ไม่ชอบจิตตสังขาร แต่ชอบความว่าง
มีสติรู้เท่าทันจิตตสังขาร ความคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่งปัจจุบันขณะ ไม่หลงติดไป
มีสติรู้เท่าทันขณะจิตปัจจุบันที่หลงพยายามกด ข่ม บังคับ ดับจิตตสังขารปัจจุบันขณะเพื่อให้นิ่ง สงบ ว่างเปล่า
และ
รู้เท่าทันอาการชำเลืองดูจิตปัจจุบันขณะ ไม่หลงกระทำตาม
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2562